ไปเที่ยวมา

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

สไปรูไลนา …เกลียวทอง …ชื่อนี้มีที่มา

สไปรูไลนา …เกลียวทอง …ชื่อนี้มีที่มา
สาหร่ายเกลียวทอง หรือ สไปรูไลนา จัดเป็น ไซยาโนแบคทีเรีย ในสกุล สไปรูไลนา (Spirulina) คำว่า “สไปรูไลนา” นั้นมาจากคำว่า Spiral ซึ่งหมายถึงมีลักษณะเป็นเกลียว ซึ่งตรงกับรูปร่างของสาหร่ายชนิดนี้ ที่มีลักษณะเป็นสายเกลียว มีสีเขียวแกมน้ำเงิน ขนาดเล็กมากจนตาเปล่ามองไม่เห็น ต้องส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หากอาศัยในบ่อหรือสระขนาดใหญ่และอยู่ติดกัน จะเห็นเป็นแพรสีเขียว (ที่เห็นเป็นแพรสีเขียวได้เพราะมีจำนวนมากเป็นล้านล้านเซลล์) ชอบอาศัยอยู่ในน้ำกร่อย โดยเฉพาะน้ำที่มีสภาพเป็นด่าง โดยเกลียวของสาหร่ายจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิ ค่า pH (ค่าความเป็นกรด-ด่าง) และสารอาหารที่ได้รับ
ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) เป็นจุลินทรีย์กลุ่มหนึ่งที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ มีคลอโรฟิลล์อยู่ภายในเซลล์ เดิมเข้าใจว่าเป็นพืชน้ำ แต่เมื่อศึกษาในระดับเซลล์แล้วมีลักษณะบางประการคล้ายพืช แต่ลักษณะส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับแบคทีเรียมากกว่า จึงจัดจำพวกไว้ในกลุ่มแบคทีเรียคือ ไซยาโนแบคทีเรีย ซึ่งมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แบคทีเรียในกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับธรรมชาติ เนื่องจากในการสังเคราะห์แสงปล่อยออกซิเจนออกมาให้กับระบบนิเวศ จากการขุดค้นซากฟอสซิลไซยาโนแบคทีเรียพบว่ามีอายุมากที่สุดราว 2.5 ล้านปี โดยทั่วไป พบแบคทีเรียชนิดนี้ในน้ำและในดิน บางสายพันธุ์สามารถเปลี่ยนไนโตรเจนไปเป็นสารประกอบไนโตรเจนตัวอื่นที่พืชสามารถนำไปใช้ในการเจริญเติบโตได้ คำว่า “สาหร่ายเกลียวทอง” ค่อนข้างจะคุ้นหูผู้คนพอประมาณ เพราะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อต่างๆ มากมาย ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร โดยเฉพาะเว็บบอร์ด ที่เซลล์ขายตรงมักเข้ามาโฆษณาผลิตภัณฑ์สาหร่ายเกลียวทอง...บางรายขนานนามเจ้าสาหร่ายเกลียวทองนี้ว่า เป็นยาวิเศษ บ้างก็ว่าเป็นยามหัศจรรย์ และชื่ออื่นๆ อีกสารพัด อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่ได้จัดให้สาหร่ายเกลียวทองเป็นยา แต่จัดให้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สาหร่ายหลายแห่งที่ยึดถือจรรยาบรรณ และความถูกต้องของข้อมูล ก็มักชี้ให้ประชาชนหรือผู้บริโภคเห็นว่า สาหร่ายเกลียวทองไม่ได้เป็นยาที่สามารถรักษาโรคนั้นโรคนี้ให้ "หายขาด" หรือเป็นยาวิเศษครอบจักรวาล แต่เป็นอาหาร"เสริม" เติมเต็มสารอาหารส่วนขาดให้กับร่างกาย โดยมีประโยชน์ต่อร่างกายในระดับหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ สาหร่ายชนิดนี้เพิ่งมีชื่อภาษาไทยว่า “เกลียวทอง” ประมาณ 10 ปีมานี้เอง โดยผู้ตั้งชื่อคือนางเจียมจิตต์ บุญสม ซึ่งในขณะนั้นรับราชการอยู่ที่สถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปัจจุบัน เป็นผู้อำนวยการด้านการวิจัยในบริษัทเอกชน) ต่อมาจึงมีการใช้ชื่อนี้กันอย่างแพร่หลายในวงการวิจัยและวิชาการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้อนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ จดทะเบียนคำว่า "สาหร่ายเกลียวทอง" เป็นชื่อผลิตภัณฑ์อาหาร ต่อมา บริษัท เอกชนได้นำไปจดทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายการค้าต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา
:: คุณค่าทางโภชนาการสูง ...คือแรงจูงใจในการเพาะเลี้ยง
ว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว สาหร่ายเกลียวทองได้ถูกนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงประชากรมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลมาแล้ว ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของสาหร่ายชนิดนี้อยู่ในทวีปอเมริกากลาง บริเวณประเทศกัวเตมาลาและประเทศเม็กซิโก โดยชนเผ่าพื้นเมืองของเม็กซิโกพวกแอซเท็ค (Aztec) และชนเผ่ามายัน (Mayan) ของกัวเตมาลาใช้สาหร่ายเกลียวทองเป็นอาหารมาเป็นเวลามากกว่า 1,000 ปี ชนเผ่าต่างๆ ในอัฟริกาก็บริโภคสาหร่ายเกลียวทองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพิ่งจะประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี้เองที่คนในแถบอื่นๆ เริ่มรู้จักสาหร่ายเกลียวทองในฐานะเป็นอาหารเสริมที่เป็นแหล่งของโปรตีนสูง สำหรับในเอเชีย ชาติที่นิยมรับประทานสาหร่ายก็หนีไม่พ้นชาวญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นนี่เองที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตสาหร่ายเกลียวทองเป็นแห่งแรกในประเทศไทย คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลว่าสาหร่ายเกลียวทองเป็นสาหร่ายที่มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 60-70 เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ เช่น ถั่วเหลือง และยังพบว่าโปรตีนของสาหร่ายเกลียวทองมีปริมาณสูงกว่าเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ในสาหร่ายเกลียวทองมีวิตามินหลายชนิดเช่น วิตามินบี 1,2,3 และ 12 วิตามินซี วิตามินอี และเบตาแคโรทีน และยังประกอบไปด้วยกรดแกมมาลิโนเลนิก (GLA) แหล่งของโอเมกา 3 (Omega 3) ซึ่งกรดนี้จัดเป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ในการเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างของเซลและปฏิกิริยาเคมีสำคัญในร่างกาย ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีอยู่มากกว่าสาหร่ายและพืชอื่นอีกหลายชนิดนี้เอง ทำให้วงการวิทยาศาสตร์ วงการเภสัชกรรม และวงการแพทย์ ให้ความสนใจในการนำสาหร่ายเกลียวทองมาเป็นแหล่งอาหารเสริมอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมโภชนาการเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้บริษัทต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศทำการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทองเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์สาหร่ายเกลียวทองทั้งในรูปของแคปซูล อัดเม็ด จำหน่ายในราคาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับต้นทุนในการผลิตของแต่ละแห่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยังไม่มีการรายงานใดๆ ยืนยันว่าสาหร่ายชนิดนี้มีโทษต่อร่างกายของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม นักวิจัย นักวิชาการต่างก็ออกมาแนะนำรวมๆ ให้ผู้บริโภคเดินทางสายกลางไม่บริโภคเกินความพอดี เพราะการบริโภคอาหารอะไรก็ตามหากมากหรือน้อยไป มักมีโทษต่อร่างกายอยู่แล้ว
:: วิจัยสาหร่ายเกลียวทอง เพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานในประเทศที่ได้ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายเกลียวทอง และพยายามคัดเลือกเอาส่วนดีของสาหร่ายชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ ดร. อภิรดี หงส์ทอง และ ดร.กัลยาณี ไพฑูรรังสฤษฎ์ นักวิจัยของไบโอเทค จากหน่วยปฏิบัติการพัฒนาวิศวกรรมชีวเคมีและโรงงานต้นแบบ ที่ทำการวิจัยสาหร่ายเกลียวทอง สไปรูไลนา พลาเทนสิส (Spirulina platensis) กำลังใช้ความรู้ด้านชีววิทยาโมเลกุลศึกษาการผลิตสารมูลค่าสูงจากสาหร่าย ศึกษาแม้กระทั่งรูปร่างของสาหร่าย...ซึ่ง ณ สิ่งแวดล้อมหนึ่งสาหร่ายเกลียวทองมีรูปร่างโค้งเป็นเกลียว ในขณะที่อีกสิ่งแวดล้อมหนึ่งคลายเกลียวเป็นสายยาว ซึ่งรูปร่างที่ต่างกันนี้มีผลต่อการผลิตโปรตีนในปริมาณที่ต่างกันด้วย (ในบางสภาวะรูปร่างเกลียว และเป็นสายยาวปนกัน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าใจผิดว่ามีการปนเปื้อนด้วย)

รูปร่างโค้งเป็นเกลียว รูปร่างเป็นสายยาว
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาจีโนมของสาหร่ายเกลียวทองร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อหาแนวทางในการเพิ่มศักยภาพของการสร้างสารเคมีมูลค่าสูง และเพื่อพัฒนากระบวนการสกัดสารเคมีจากสาหร่ายชนิดนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบในการศึกษาจีโนมในสิ่งมีชีวิตอื่นด้วย จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า มนุษย์เรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตรอบตัวมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ซึ่งการใช้เทคโนโลยีนำสิ่งมีชีวิตและผลผลิตมาใช้ประโยชน์นี่เองคือเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่าย เราเรียกว่า “Algal Biotechnology”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น